10 ครีมแต้มสิว ยอดฮิต ใช้แล้วสิวยุบ ไม่ต้องรอนาน! สำหรับใครที่มีปัญาเรื่องของสิวอักเสบ สิวหัวหนอง สิวบวมแดง พาเหรดขึ้นมาบนใบหน้า อย่างแรกที่นึกถึงก็คงไม่พ้นการมองหาครีมแต้มสิวที่จะช่วยให้สิวยุบหายโดยพลัน
ซึ่งหลายคนอาจจะเริ่มลังเลว่าควรใช้ครีมแต้มสิวแบบไหนดี ? ครีมยี่ห้อไหนที่จะทำให้สิวยุบไว? ครีมตัวไหนทาแล้วถึงจะเห็นผลดีที่สุด? แต่หมดกังวลได้เลยคะ
เพราะเราจะช่วยให้เพื่อนๆสามารถเลือกสรรซื้อหาผลิตภัณฑ์รักษาสิวอักเสบที่เหมาะกับทุกคน ราคาไม่แพง หาซื้อได้ง่าย และสะดวกต่อการใช้งาน รวมทั้งยังได้ผิวสวยเนียนใสกลับคืนมาดั้งเดิมคะ — ครีมแต้มสิว
สามารถใช้รักษาได้ทั้งสิวอักเสบ สิวหนอง สิวเม็ดเล็กแดงๆ ซึ่งเห็นผลได้ดีพอสมควรเพราะสิวจะยุบลงได้ไวภายใน 1-2 วัน ส่วนเนื้อครีมบางเกาะผิวได้ดี ซึมซาบเร็ว
เหมาะกับสาวๆที่ต้องแต่งหน้าเพราะหมดกังวลว่าจะเกิดคราบ และตัวยาไม่ทำให้รู้สึกแสบ ไม่มีกลิ่นเหม็น ข้อดีคือผิวบริเวณที่แต้มสิวไม่มีอาการลอกออกเป็นขุยจึงทำให้ผิวเรียบเนียนใส ไร้รอยแผลเป็น รอยดำ รอยแดงที่เกิดจากสิวอีกด้วย
ครีมรักษาสิวที่น่าสนใจอีกหนึ่งตัวของจุฬาเฮิร์บ ราคาถูกเพียงซองละ 39 บาทเท่านั้น แต่มีประสิทธิภาพขั้นเทพ สิวสามารถยุบหายได้ภายใน 1-3 วัน ตัวยาจะเป็นเจลใสๆ สีเหลืองอ่อน มีกลิ่นเล็กน้อย เมื่อทาแล้วอาจจะรู้สึกแสบๆในช่วงแรก โดยใช้ทาแต้มหัวสิวทิ้งไว้ประมาณ 5-30 นาที แล้วค่อยล้างออก
สุดยอดครีมแต้มสิวอักเสบที่สามารถใช้รักษากับหัวสิวได้ทุกรูปแบบ อาทิ สิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวไม่มีหัว สิวเม็ดแดงเล็กๆ ซึ่งตัวครีมทำหน้าที่ในการฆ่าเชื้อโรค P.Acne อันเป็นต้นเหตุของสิวอักเสบ ส่วนขั้นตอนการใช้แต้มไปที่หัวสิว
เวลาที่ทาจะรู้สึกแสบๆตรงบริเวณที่เป็นสิวเล็กน้อย แต้มทิ้งเอาไว้โดยไม่ต้องล้างออก ตัวยาจะออกกลิ่นฉุน และออกฤทธิ์แรง สำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่ายไม่เหมาะกับการใช้ยาตัวนี้เพราะอาจเกิดอาการระคายเคืองได้
เจลแต้มสิวที่มีส่วนผสมของน้ำมันทีทรีบริสุทธิ์ทำให้สามารถลดสาเหตุของการเกิดสิว ลดอาการอักเสบ พร้อมกับช่วยทำให้สิวยุบและแห้งเร็วขึ้น ภายใน 1-2 วัน รอยแดงจะเริ่มลดลง
แถมเมื่อสิวหายก็ไม่ทิ้งรอยดำไว้กวนใจ ตอนเริ่มทาในช่วงแรกๆจะรู้สึกเย็นๆเนื่องจากตัวยาทำมาจากสมุนไพร (แต่ถ้าหากคนที่ไม่ชอบสมุนไพรอาจจะรู้สึกฉุน)
ครีมแต้มสิวที่สกัดมาจากสมุนไพรล้วนๆ(ชะเอมเทศ+ว่านหางจระเข้+เปลือกมังคุด) ตัวเนื้อครีมจะมีลักษณะเจลขาวขุ่นใช้ทาแต้มไปตรงสิว ช่วยลดการอักเสบของสิว ทำให้หัวสิวแห้ง สิวยุบเร็วภายใน 1-3 วัน สมานรอยแผลสิวได้ดี แต่อาจจะรู้สึกแสบเล็กน้อยตอนทา ตัวยาจะรักษาสิวอักเสบที่กดเอาหัวออกแล้วได้ดี
ในขณะสิวที่หัวยังไม่แตกจะเห็นผล แต่จะช้ากว่าซะหน่อย ส่วนข้อเสียคือเวลาที่ตัวเจลแห้งจะเกิดรอยคราบเป็นขุยแห้ง บางครั้งจะรู้สึกเคลือบผิวทำให้หน้าตึงจึงเหมาะกับใช้ทาช่วงกลางคืนจะดีที่สุด
ตัวเนื้อเจลมีลักษณะขาวขุ่น สามารถซึมซาบได้เร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ และไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองใดๆกับผิว อีกทั้งมีกลิ่นหอมอ่อนๆเป็นครีมแต้มสิวที่ช่วยลดการเกิดสิวอักเสบ สิวหนอง สิวบวมแดง สิวอุดตัน ตอนที่ทาจะรู้สึกแสบแต่ไม่มากเท่าไหร่ สิวจะยุบลงภายใน 2-3 วัน
เป็นครีมแต้มสิวเนื้อเจลใสๆใช้แต้มสิวพร้อมกับฆ่าเชื้อสิวไปในตัว ทำให้สิวยุบลงใน 2-3 วัน แถมลดการเกิดสิว ส่วนตัวยามีกลิ่นไม่แรงและไม่ทำให้แสบผิว หากต้องการให้ประสิทธิภาพดี ให้นำครีมดาลินเจลทาแต้มสิวแล้วทาครีม Benzac AC แต้มทับลงไปอีกชั้นจะยิ่งช่วยทำให้สิวยุบไวขึ้น
ครีมตัวนี้มีส่วนประกอบหลักของยา Clindamycin 1% จะผสมอยู่ในรูปแบบของน้ำใสๆใช้แต้มไปที่บริเวณสิวอักเสบหรือสิวหัวหนอง คุณสมบัติคือช่วยฆ่าเชื้อสิวและทำให้สิวแห้งเร็วขึ้น ไม่ทิ้งรอยแผลเป็นหลังจากสิวหาย
ไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบกลิ่นแอลกอฮอล์ เพราะครีมตัวนี้จะมีกลิ่นฉุนนิดหน่อย ส่วนประสิทธิภาพของตัวครีมจะคล้ายๆกับคลินดาลินเจลนั่นเอง
ครีมแต้มสิวที่ผสมตัวยาฆ่าเชื้อ ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนัง เนื้อครีมจะค่อนข้างข้น หนืด และหนัก มีกลิ่นแรงพอสมควร ใช้ทาไปที่บริเวณสิวอักเสบ สิวหัวหนอง (จะได้ผลดีมากขึ้นถ้าเอาหนองออกทิ้งเสียก่อน) เป็นครีมที่ออกฤทธิ์แรง
จึงเหมาะกับการใช้แต้มสิวเท่านั้น ไม่ควรนำไปทาทั่วใบหน้า โดยเฉพาะคนที่มีผิวแพ้ง่ายอาจะทำให้ระคายเคืองต่อผิวส่งผลให้แสบแดงและไหม้อีกด้วย
สำหรับใครที่ลองวิธีการรักษาสิวมาหลายวิธีแล้ว หรือลองทานยาแก้สิวจากหมอก็ยังไม่ดีขึ้น อาจลองใช้เป็นเจลแต้มสิวจากธรรมชาติดูบ้าง ซึ่งตัวนี้ถือว่าได้ผลดีเลยทีเดียวเนื่องจากเป็นสิวที่มีส่วนผสมของปลอกมังคุด มีคุณสมบัติลดอาการอักเสบของสิว และช่วยฆ่าเชื้อโรคต้นตอของการเกิดสิวได้อย่างยอดเยี่ยม
หมดปัญหาสำหรับคนที่เคยแพ้เจลแต้มสิวมาก่อน บอกได้คำเดียวว่าตัวนี้อ่อนโยนแบบสุดๆแถมยังรักษาสิวได้อย่างถาวรอีกด้วย
เป็นอย่างไรบ้างคะกับครีมแต้มสิวที่เราแนะนำมาทั้งหมดนี้ ล้วนแล้วแต่สามารถลดปัญหาเรื่องสิวได้ แต่หากให้เลือกว่าครีมตัวไหนดีที่สุด คงยากที่จะฟันธงได้ เพราะสภาพผิวหน้าของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป ฉะนั้นอาจจำเป็นต้องทดลองด้วยตนเองเป็นดีที่สุดเพื่อให้เหมาะกับตัวเองมากที่สุดคะ